พี่เลี้ยงที่ไม่ใช่มนุษย์ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

พี่เลี้ยงที่ไม่ใช่มนุษย์ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

พี่เลี้ยงที่ไม่ใช่มนุษย์ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เนื้อความในหนังสือ “ตำราไสยศาสตร์” หน้าที่ 26 ได้เขียนเอาไว้ว่า “เมื่อเราจะกินข้าว หรือกินอาหารคาวหวาน หรือผลไม้ เครื่องดื่มใดๆ และทุกๆ มื้อ ทุกๆ ครั้งที่เราดื่ม หรือกิน ให้ระลึกถึงชื่อพี่เลี้ยงทั้งสี่คนมาร่วมกินด้วย จงเรียกทุกๆ ครั้ง จะเว้นเสียมิได้...

“ถ้ามียาพิษในของกินอาจจะกินไม่ได้ ค่ำคืนเวลาจะนอนก็ชวนพี่ทั้ง 4 นอนด้วย และให้ช่วยพิทักษ์รักษากันภัย จะออกจากบ้านไปทางไกล ขึ้นรถลงเรือก็ชวนพี่ไปให้ช่วยคุ้มครองป้องกันภัยให้ ออกรณรงค์สงครามก็ให้ชวนพี่ไปเป็นเพื่อนช่วยคุ้มครองให้ความปลอดภัย เข้าที่คับขันก็จะระลึกพี่ช่วยป้องกันรักษาให้ปลอดภัยแคล้วคลาดจากอาวุธนานาประการ

จะทำอะไรจงระลึกถึงพี่ช่วยเหลือเถิด พี่ทั้ง 4 คนนี้เป็นยักษ์ แต่เคยแสดงให้ผู้อื่นเห็นเป็นคนธรรมดามาแล้ว หากพระสงฆ์ถือประจำจะเป็นศักดิ์สิทธิ์ แต่อาจารย์บอกว่าจะเป็นบาป

ข้าพเจ้าถือว่านี่คือหัวใจของตำราเล่มนี้...”

เมื่ออ่านมาถึงตอนที่ว่า “ข้าพเจ้าถือว่านี่คือหัวใจของตำราเล่มนี้” ฉันก็ให้นึกเกิดความรู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา เพราะคำว่า “หัวใจของตำราเล่มนี้” ประดุจจะโดดเด้งขึ้นมาสู่ดวงตาอย่างมีความหมาย

เวลาผ่านไปได้สักระยะหนึ่ง ฉันท่องจำคำเรียกพี่เลี้ยงได้หมดแล้ว และนับจากวันบูชาขอร่ำเรียนกับครูหนังสือ ก็มีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้น

มีอยู่คืนหนึ่ง ขณะกำลังทำสมาธิอยู่ ก็เห็นจุดเล็กๆ ในความมืดที่ห่างไกล แล้วเป็นแสงสว่างใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นเป็นตัวคนอย่างเด่นชัด

เป็นร่างของผู้ชายผิวขาวอมชมพู หน้าตาหล่อเหลาเอาการ แต่ผิวเนื้อนั้นคล้ายๆ หุ่นขี้ผึ้ง อธิบายได้ยากเพราะมันเป็นความงามที่ไม่เหมือนการมองดูผิวเนื้อหนังของคนทั่วไป และใบหน้านั้นก็ยิ้มให้ ยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ว่า เป็นรอยยิ้มแบบละไมๆ กระจ่างๆ ยิ้มแบบมอบน้ำใจไมตรี แบบคนที่เป็นมิตรต่อกัน

แล้วฉับพลัน ร่างนั้นก็เปลี่ยนเหมือนภาพตัดต่อในหนัง คือมีความไหวพร่าคล้ายภาพทีวีเวลาที่มีคลื่นแทรก ฉันเห็นใบหน้าแบบยักษ์ แบบยักษ์จริงๆ ที่เราเห็นตามรูปในหนังสือ หรือตามวัดวาอารามบางที่ เป็นใบหน้าที่ซ้อนกันเข้ามาในชั่วพริบตาหนึ่ง แล้วทั้งหมดนั้นก็หายไป

ออกจากสมาธิ ยังงุนงงอยู่ชั่วครู่ แต่ใจก็หวนคิดถึง “พี่เลี้ยง” ในหนังสือทันที ว่าหรือจะใช่

แต่การจะปักใจว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นของจริงแท้ หรือแค่มโนนึก หรือเพียงจินตนาการ อุปาทาน ก็เป็นของต้องค้นคว้าและพิสูจน์ให้แน่ชัด อย่างน้อยก็กับตัวเอง ฉันคิดเช่นนั้นอยู่เสมอ

หลังจากวันที่ “ได้เห็น” ร่างนั้น ฉันจึงอดครุ่นคิดอยู่บ่อยๆ ไม่ได้ว่า จะเป็นพี่เลี้ยงจริงหรือไม่ แต่เราจะพิสูจน์ได้อย่างไรเล่า

จนวันหนึ่ง ก็มีหญิงสาวผู้หนึ่งบอกมาว่า เธอมีกำหนดการไปสัมมนาต่างจังหวัด และจะต้องได้ไปค้างคืนโดยลำพัง มีคาถา หรือเครื่องรางอะไรพอจะช่วยให้อุ่นใจได้บ้าง

ฉันจึงได้ให้คาถาเรียกพี่เลี้ยงไป และบอกวิธีการต่างๆ ให้ พร้อมบอกว่า ยังไงจะส่งพี่เลี้ยงไปดูแลอีกทางหนึ่ง

ด้วยความไม่แน่ใจว่าเธอจะเรียกพี่เลี้ยงได้ถูกต้องไหม ก็จึงได้ “บอก” กับพี่เลี้ยงด้วยตัวเองอีกทางว่า ถ้าอย่างไรก็ช่วยไปดูแลเธอด้วย ทันทีที่กลับจากงานสัมมนา หญิงสาวผู้นั้นก็บอกเล่ามาให้ฟังว่า

ในคืนสุดท้ายก่อนจะปิดงาน หลังการทำงานแล้วก็จะเป็นปาร์ตี้ส่งท้าย ซึ่งคืนนั้นเธอก็ค่อนข้างเมาพอสมควร แต่มั่นใจตัวเองระดับหนึ่งว่ายังไงก็กลับห้องภายในโรงแรมได้แน่นอน ซึ่งเธอกลับถึงห้องได้เรียบร้อยจริงๆ แต่ง่วงจัดจนขึ้นเตียงได้ก็ผล็อยหลับไปทันที

หลับไปได้สักพักหนึ่ง เธอก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก เธอว่าเป็นเสียงผู้ชาย เรียกชื่อเธอดังมาก ดังจนต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมา

จังหวะที่ตื่นขึ้นมาแล้วนั่นเอง แต่กำลังงงๆ คิดว่าตัวเองเพิ่งฝันไปหรืออย่างไร เธอก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังจะเข้ามาในห้อง

เธอเมาและง่วงจนไม่รู้ตัวว่าลืมล็อกห้อง แต่พอคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว มีคนกำลังเปิดประตูเข้ามาในห้องของเธอ

สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ไปงานสัมมนา ทางบริษัทได้จัดห้องพักไว้ให้ครบถ้วน ส่วนใหญ่จะพักกันสองคนต่อหนึ่งห้อง แต่หญิงสาวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงพอสมควร จึงใช้สิทธิ์พักเพียงลำพัง ดังนั้นจึงไม่มีรูมเมทใดๆ ที่จะไขกุญแจเข้ามา

เธอมาพลาดท่าตรงการลืมล็อกห้องนี่เอง

เธอเล่าให้ฟังต่อว่า ทันทีที่รู้สึกตัวว่ามีคนกำลังเข้ามาในห้อง ก็ใจหายวาบ จนกระทั่งร่างนั้นเดินเข้ามาถึงข้างเตียง ด้วยสายตาชินกับความมืดแล้ว จึงเห็นว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งในบริษัทเดียวกัน แต่อยู่กันคนละแผนก ที่ผ่านมาก็เคยพบปะกันอยู่บ้าง แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีพฤติกรรมเช่นนี้

ขณะที่ร่างนั้นเข้ามาถึงเตียง เธอจึงรีบผุดลุกขึ้น แล้วร้องถามเสียงแข็งว่า “เข้ามาทำไม!”

ร่างนั้นสะดุ้ง และรีบลนลานขอโทษขอโพย บอกว่าเข้าผิดห้อง เธอจ้องหน้าผู้ชายคนนั้นเขม็ง เพียงครู่เดียวผู้ชายคนนั้นก็รีบออกจากห้องไป หญิงสาวใจเต้นตุบตับ และเล่าภายหลังว่า หากเธอไม่ได้ตื่นขึ้นมาเพราะมีเสียงคนเรียก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

หลังจากเล่าเรื่องให้ฟัง หญิงสาวก็บอกกับฉันว่า เธอแน่ใจ 100% ว่า เสียงที่มาตะโกนเรียกเป็นเสียงของ “พี่เลี้ยง” เพราะเธอได้บอกพี่เลี้ยงตอนก่อนไปสัมมนา และฉันเองก็ได้ฝากพี่เลี้ยงเอาไว้

เธอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้หูฝาด เสียงนั้นเรียกเธอดังมากจนสะดุ้งตื่น และตื่นมาจนได้รับรู้ว่ามีคนกำลังค่อยๆ ผลักประตูเข้ามา

ฉันรับฟังเรื่องเล่าดังกล่าว แล้วก็อดจะคิดคล้อยตามไม่ได้เช่นกันว่า น่าจะเป็น “พี่เลี้ยง” จริงๆ แต่กระนั้นก็ตาม แม้จะมีความนับถือหนังสือเล่มดังกล่าว ก็ยังแอบคิดในใจว่า น่าจะต้องมีสิ่งชี้ชัดกว่านี้อีกหน่อยเถอะนะ

หลังจากนั้นผ่านมาจนถึงช่วงวันสิ้นปี ก็มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาพักที่บ้านพร้อมกับลูกสาว ก็ได้จัดให้ท่านพักในห้องรับรองชั้นล่าง เป็นห้องทางทิศตะวันตกของบ้าน มีหน้าต่างเปิดสู่ฝั่งกำแพงรั้วทิศใต้ ด้านหน้าติดกับถนนสายหลักของหมู่บ้าน

แต่ตกเช้ามา ท่านบอกว่า ไม่ได้นอนแทบทั้งคืน เพราะมีเสียงกระแทกพื้นดังมาก ดังหนักๆ เป็นจังหวะเหมือนใครเอาอะไรตอกลงพื้นแรงๆ จนท่านหวาดกลัวมาก

ลูกสาวของท่านที่พักอีกห้องชั้นบนก็ถามว่า เป็นเสียงพลุส่งท้ายปีหรือเปล่า ท่านก็ยืนยันว่าไม่ใช่ ท่านฟังออกว่าเสียงพลุเป็นอย่างไร

ท่านบอกว่า มันเป็นเสียงคล้ายๆ คนมาทุบพื้นดัง ตึง! ตึง! เดี๋ยวไกล เดี๋ยวใกล้ แต่ตอนดังใกล้ๆ เหมือนอยู่ข้างห้องนอนนี่เอง ดังเหมือนใครเอาแท่งเหล็กกระแทกพื้นปูน ท่านว่า มีแรงสั่นสะเทือนอีกด้วย

วิเคราะห์กันอยู่ไปมา ญาติผู้ใหญ่ท่านก็พูดขึ้นช่วงหนึ่งว่า หรือว่าบรรพบุรุษทางบ้านเก่าจะตามมาเที่ยวทางนี้ด้วย เพราะท่านเคยไปพักทางภาคใต้ หนหนึ่ง มีเหตุการณ์ว่าวิญญาณบรรพบุรุษได้ตามไปเที่ยวในสถานที่พักด้วย

ฉันฟังแล้วก็เอะใจ ถามท่านว่า แล้ววิญญาณบรรพบุรุษจะตามท่านมาทำไม

ท่านบอกว่า อาจจะอยากมาดูลูกหลานทางนี้ เพราะรอบโน้นก็เพราะได้ไปในที่ๆ มีลูกหลานอยู่อาศัย เหมือนบรรพบุรุษท่านอยากจะไปทักทายบ้าง

ก็รู้สึกแปลกๆ ดี แต่แล้วนั่นเองฉันนึกขึ้นได้ว่า หรือว่ามีดวงวิญญาณอื่นอยากจะเข้ามาในบ้านจริงๆ แล้ว “พี่เลี้ยง” จึงได้แสดงฤทธิ์ป้องกันตัวบ้านเอาไว้ เพราะเท่าที่ฟัง ญาติผู้ใหญ่ท่านบอกว่าเสียงกระแทกพื้นดังอยู่นาน แต่ทุกคนในบ้านไม่มีใครได้ยินเสียงด้วยเลย

ตอนหนึ่งท่านว่า “เสียงดังยังกะยักษ์กระทืบพื้น”

ด้วยความสงสัยไม่รู้รา หลังญาติผู้ใหญ่กลับไปแล้ว ฉันก็จึงกำหนดจิตสอบถาม “พี่เลี้ยง” ว่า ใช่พวกพี่หรือไม่ ที่ได้กระทำการดังกล่าวไป

ในคืนเดียวกันนั้นเอง น่าจะราวๆ ตีสองได้ ฉันก็ได้ยินเสียงกระแทกพื้นเป็นจังหวะ ดังมาเข้าหูในลักษณะที่ญาติผู้ใหญ่บอก คือเดี๋ยวใกล้ เดี๋ยวไกล ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจ ยังคิดว่าหรือจะเป็นเสียงกลอง เสียงเครื่องดนตรี เสียงลอยมาจากการเปิดเครื่องเสียงบ้านไหน

แต่ก็พบว่าไม่ใช่...เมื่อเสียงนั้นดึง ตึง! ตึง! อยู่ในโสตประสาทชัดเจนมาก และพอฉันคิดในใจว่า โอเคๆ ถ้าเป็นพี่ๆ ก็รับรู้แล้วนะ ขอบคุณที่บอกกัน

ทันใด ก็มีลมพัดมาสายหนึ่ง ในห้องนอนที่ปิดประตูหน้าต่าง เปิดเครื่องปรับอากาศไว้ พร้อมเสียงคล้ายใครหัวเราะเบาๆ แล้วเสียงกระแทกพื้นก็หายเงียบไป

ตั้งแต่นั้น ฉันก็คิดว่าตัวเอง “เชื่อ” แล้วล่ะ ว่ามี “พี่เลี้ยง” เหล่านั้นอยู่จริงๆ แต่การ “เชื่อ” ของฉัน ก็ยังมีเงื่อนไขติดอยู่อีกนิดหนึ่งว่า อยากจะขอการพิสูจน์อีกสักหน่อยได้ไหม

ปรากฏว่า หลังจากนั้นก็มีอีกหลายเหตุการณ์ ทำให้เมื่อหยิบหนังสือ “ตำราไสยศาสตร์” ฉบับดังกล่าวมาดูก็ให้พิศวงไม่วาย แล้วจึงได้ลองค้นหาดูอีกครั้งว่า แล้วผู้เขียนเป็นใคร

จากหน้าแรกของหนังสือที่ได้มา ระบุไว้ว่า ขออุทิศส่วนกุศลให้กับ “คุณอนันต์ คณานุรักษ์” ผู้รวบรวม

ฉันเสิร์ชด้วยชื่อเข้าไปใน Google และแล้ว จากการค้นหาชั้นต้น ได้พบว่า นายอนันต์ คณานุรักษ์ อยู่ในตระกูลของผู้ทำเหมืองแร่ และเป็นผู้สร้างพระเครื่องหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ร่วมกับพระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม)

ตำราไสยศาสตร์เล่มนี้ เกิดจากการที่ต่อมามีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และนายทหารผู้ใหญ่ มักมาขอผ้ายันต์จากคุณอนันต์ เพื่อนำไปมอบให้ทหารและตำรวจชายแดน เป็นของบำรุงขวัญให้พลังใจ จนต่อมา ท่านจึงจัดพิมพ์ตำราไสยศาสตร์เล่มนี้ขึ้น เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารและประชาชนทั่วไปที่สนใจ

ในข้อมูลระบุว่า คุณอนันต์ คณานุรักษ์ ศึกษาเล่าเรียนวิชาไสยศาสตร์ไว้เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัว เนื่องจากในอาชีพการทำเหมืองแร่สมัยก่อนต้องเดินทางเข้าป่าฝ่าดง ผจญอันตรายกันอยู่มาก

หนังสือฉบับพิมพ์ครั้งแรก ลงวันที่ 1 มกราคม 2497

และมีข้อความที่คุณอนันต์ฯ เขียนไว้ด้วยว่า

“การเชื่อถือไสยศาสตร์นี้ ผู้ที่มีกำเหนิดมาอยู่บนกองเงินกองทองโดยไม่รู้จักกรากกรำลำบากแล้ว เขาก็จะหาว่าเปนเรื่องไร้สาระ ฉะเพาะข้าพเจ้าตั้งแต่ปู่และบิดามาแล้ว มีอาชีพที่เสี่ยงภัย จึงเกิดความเชื่อถือวิชานี้ไว้คุ้มกันและก็เปนที่ประจักษ์ตามที่กล่าวมา อีกประการวิชาไสยศาสตร์นี้บรรพบุรุษของปวงชนชาวไทยเราเคยสนใจ และทำชื่อเสียงถึงกับทำการกู้ประเทศชาติไว้ได้ ด้วยความกล้าหาญเปนผลสำเร็จ

ขณะนี้ ข้าพเจ้ามีอายุ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว คิดว่าหากตายลงวันใด วิชาอาคมที่ได้สร้างสมมามากมายนี้ก็จะดับสูญตามข้าพเจ้าไปโดยไร้ประโยชน์เปล่า และเห็นว่าในยุคนี้ลูกผู้ชาย จะต้องมีหน้าที่ถืออาวุธป้องกันประเทศชาติและครอบครัว วิชาไสยศาสตร์จะได้เปนกำลังใจของท่านให้เกิดความเข้มแข็งกล้าหาญในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ยามมีเหตุ

ข้าพเจ้าจึงได้พิมพ์ตำรานี้ขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้แก่ท่าน วิชาอาคมใดๆ ในตำรานี้หรือนอกตำรานี้ จะมีความประสิทธิ์ขลังหรือไม่นั้น ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า หากไม่ประสิทธิ์ขลังแล้ว ก็เปนเพราะผู้ปฏิบัติขาดหลักดังจะกล่าวในหลักปฏิบัติต่อไป ความจริงวิชาอาคมใดๆ หากผู้ปฏิบัติเชื่อมั่นใช้ถูกต้องตามหลักการปฏิบัติแล้วย่อมเกิดผลเปนที่พอใจ ถ้าหากท่านได้พระคาถามหาวิเศษมาแต่พระฤาษีองค์ใด แต่ท่านหย่อนความเชื่อมั่นและไม่ปฏิบัติตามหลักแล้ว พระคาถานั้นก็จะไม่เกิดผลดีให้แก่ท่านเลย

เหตุนี้ข้าพเจ้าจำเปนขอความกรุณาต่อผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงวิชานี้ แต่หากท่านได้รับตำรานี้ไว้ ขอได้กรุณาจงสละมอบให้ญาติมิตรของท่านผู้ที่เขาสนใจต่อไป ข้าพเจ้าขอขอบคุณไว้อย่างสูง...”

(สะกดตามข้อความเดิม)

ข้อความดังกล่าวนี้ ไม่มีในฉบับที่ฉันได้มา

 ...เมื่อพิจารณาข้อความดังกล่าว และไตร่ตรองคีย์เวิร์ดที่ได้มา

คาถาเรียกพี่เลี้ยง, เรื่องที่ท่านกล่าวว่าคือหัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้, สิ่งที่ท่านย้ำเน้นเรื่องการใช้รักษาปกป้องคุ้มกัน, การแสดงฤทธิ์ผ่านรูปนิมิต 2 ลักษณะ, การปรากฏเสียงคล้ายยักษ์กระทืบพื้น, ประโยคที่ท่านบอกว่า

“ขอความกรุณาต่อผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงวิชานี้ แต่หากท่านได้รับตำรานี้ไว้ ขอได้กรุณาจงสละมอบให้ญาติมิตรของท่านผู้ที่เขาสนใจต่อไป”

อาจไม่ใช่เหตุบังเอิญใช่ไหม กับการที่หนังสือถูกส่งมาจนถึงมือของฉัน และการลองใช้คาถาบทแรกที่เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ พร้อมกับมีผู้อื่นมาช่วย “ยืนยัน” ถึงสิ่งที่ดูเร้นลับไม่ใช่เหตุการณ์ปกติธรรมดา

อีกอย่างที่สะดุดใจขึ้นมา คุณอนันต์ คณานุรักษ์ ได้กล่าวถึงชีวิตการทำเหมืองแร่ ซึ่งย่อมคลุกคลีอยู่กับแร่ที่มีค่าทางธรณีวิทยา รวมได้ถึงรัตนชาติต่างๆ 

และตัวฉันก็มีงานส่วนหนึ่ง เป็นธุรกิจจัดทำเครื่องประดับและเครื่องรางจากหินสี รัตนชาติ คว็อตซ์ แก้วโป่งข่าม

ซึ่งในทางศาสตร์ความเชื่อ ผลึกคว็อตซ์ หินสี แก้วโป่งข่าม จัดอยู่ในกลุ่มของมีพลัง ส่งผลต่อกายใจและจิตวิญญาณได้

วันหนึ่ง ฉันลองเรียกพี่เลี้ยงและว่า “ช่วยมาเลือกแก้วให้หน่อยได้ไหม”

ประมาณช่วงบ่ายๆ ของวันเดียวกันนั้น จู่ๆ ของก็ตกลงมาจากชั้น กล่องเก็บหินเปิดอ้า กระจัดกระจาย แก้วโป่งข่ามแท่งหนึ่งกระเด็นมาถึงตรงหน้า พร้อมกับอีกครั้งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

b1dfa83d-5fec-4f47-a1dd-4dc48

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ พี่เลี้ยงที่ไม่ใช่มนุษย์ โดย การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook