คนตายแล้ว..ไปเกิดใหม่ได้อย่างไร

คนตายแล้ว..ไปเกิดใหม่ได้อย่างไร

คนตายแล้ว..ไปเกิดใหม่ได้อย่างไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กรรม ที่กระทำในชาตินี้ไปแสดงผลในชาติหน้าได้อย่างไร? มีนักปราชญ์ราชบัญฑิตย หรือศาสดา หลายท่าน ได้พยายามคิดค้นว่าคนตายสูญไปเลย หรือคนตายแล้วไปเกิดได้อีก ถ้าไปเกิดได้อีก จะไป เกิดเป็นอะไร อย่างไร สำหรับคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนตายแล้วไปเกิดอีกได้และจะไปเกิด

คนตายแล้ว..ไปเกิดใหม่ได้อย่างไรคนตายแล้ว..ไปเกิดใหม่ได้อย่างไร

เป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์อีกก็ได้ โดยจิตหรือวิญญาณนั้นมิได้ เป็นอมตะ ไม่มีวันตาย หากแต่เกิดดับสืบต่อไปไม่ขาดสาย จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์รู้จักนึกคิดจดจำ จิตนั้นเป็นธรรมชาติที่มีความเกิดดับสืบต่อกัน มามิได้หยุดนิ่งและจิตนั้นเป็นนามธรรมที่ไม่สามารถมองเห็นหรือจับต้องได้ แต่มีอำนาจสั่งการ เก็บอารมณ์ต่าง ๆ ไว้ในจิตแล้วค่อยแสดงออกมาใน 2 ลักษณะ คือ

1. การงานที่จิตกระทำ ได้แก่ การที่จิตรับอารมณ์ความรู้สึก จากสัมผัสทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เช่น ได้ยิน คิด เป็นต้น

2. จิตเป็นภวังค์ ได้แก่ จิตไม่ได้รับอารมณ์ความรู้สึกจากสัมผัสทั้ง 6 แต่จิตก็ทำงานอยู่ตลอดเวลา คือ เกิด ดับ

ภวังค์ หมายถึง องค์แห่งภพ คือจิตตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติคือ ตาย ขณะใดที่จิตเป็นภวังค์ ที่เห็นง่าย ๆ คือ คนกำลังหลับสนิท เพราะขณะหลับสนิทจะไม่รู้สึกตัวเลย แต่ขณะใดจิตมีความรู้สึก จิตก็พ้นจากภวังค์ ความจิรงขณะที่เราเห็น หรือ ได้ยินหรือคิดนั้น จิตก็มีอารมณ์ ความรู้สึก แล้วก็มีภวังค์จิตขึ้นสลับอยู่ตลอดไป ทั้งนี้เป็นไปโดยรวดเร็วมาก เราจึงไม่รู้สึก ตามพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าทรงแบ่งความตาย ออกเป็น ส่วนใหญ่ ๆ ไว้เป็น 2 ประการ คือ

กาลมรณะ คือ ถึงเวลาที่จะต้องตาย

อกาลมรณะ คือ ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย

เป็นการแสดงให้เห็นว่า ความตายเมื่อถึงเวลาตายก็มี ยังไม่ถึงเวลาแล้วตายก็มี อะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนำสัตว์ทั้งหลายให้ต้องเวียนเกิด เวียนตาย หรือต้องไปเกิดในภพใหม่ไม่ได้หยุดหย่อน ตายแล้วก็ต้อง ไปเกิดเพราะมีจิต ปรารถนาที่จะไปเกิดใหม่อีก ความปรารถนานั้น เป็น พลังมหาศาลที่ไม่อาจสัมผัสได้ กำลังของความปรารถนาแต่อดีตนั้น สามารถส่งผลให้จนถึงปัจจุบันและอนาคตได้ ซึ่งความปรารถนานี้ก็คือ โลภะ ตัณหา

ดังนั้น จิตเป็นธรรมชาติที่รับอารมณ์ มีอารมณ์อยู่เสมอ และอารมณ์ที่เกิดขึ้นก็ด้วยเหตุต่าง ๆ แต่สำหรับคนที่ใกล้จะตาย อารมณ์ในขณะ ใกล้จะตาย เรียกว่า กรรมอารมณ์ กรรมนิมิตอารมณ์ คตินิมิตอารมณ์

1. ผู้ใดกระทำกรรมอะไรไว้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วเมื่อทำไว้มาก ๆ กรรมเหล่านั้นจะกระทำกับจิตเกิดเป็น อารมณ์ทำให้ จิตสร้างเป็นมโนภาพ ไปต่าง ๆ นานา เช่น ฆ่าสัตว์ไว้มาก ๆ ก็มักจะเห็นการฆ่าสัตว์ อารมณ์นี้เป็นกรรมอารมณ์

2. ผู้ที่ใกล้จะตายเห็นนิมิตต่าง ๆ เช่น เห็นอุปกรณ์การกุศลที่เคยทำมา ขบวนแห่บวชนาค ทอดกฐิน อารมณ์นี้เป็นกรรมนิมิตอารมณ์

3. ผู้ใกล้ตายเกิดนิมิตเห็นถ้ำ เหว ปล่อง การทรมานสัตว์ ปราสาทราชวัง บางทีไม่มีในเมืองมนุษย์ อารมณ์นี้เป็นคตินิมิตอารมณ์

สัตว์ทั้งหลายขณะใกล้จะจุติ คือ ตาย จะต้องเกิดกรรมหรือกรรมนิมิต หรือคตินิมิตขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะอารมณ์กรรมเหล่านี้เป็น กำลังงาน ที่สำคัญจะผลักดันให้ไปเกิดใหม่ ทำให้มีภพชาติสืบต่อไปแน่นอน อารมณ์ครั้งสุดท้ายเป็นที่หมายว่าจะต้องไปเกิดตามที่ตนได้เห็น

เหมือนเราทำแบบแปลนแผนผังไว้ แล้วปลูกสร้างที่อยู่ อาศัยตาม แบบแปลนนั้น ๆ เช่น ผู้ที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์ย่อมเห็นครรภ์ของมารดา ผู้ที่จะไปเกิดยังเทวภูมิ ย่อมเห็นเทพยดา นางฟ้าหรือวิมาน ผู้ที่จะไป เกิด ในนรก ย่อมเห็นการเผาผลาญสัตว์ เห็นเปลวไฟผู้ที่จะไปเกิดเป็นเปรตก็เห็นปล่อง เห็นหุบเขาที่มืดมิด ผู้ที่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็เห็นสัตว์ เห็นเชิงเขา ชายน้ำ เป็นต้น

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :: อ่านเรื่องผีอื่นๆ คลิก

ขอบคุณข้อมูลจาก FW Mail
ขอบคุณภาพประกบจาก Photos.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook