สุดอัศจรรย์! อาทิตย์ทรงกลดขณะ "อ.คฑา" นำทริปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ่างทอง
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/ho/0/ud/24/124701/kk.jpgสุดอัศจรรย์! อาทิตย์ทรงกลดขณะ "อ.คฑา" นำทริปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ่างทอง

    สุดอัศจรรย์! อาทิตย์ทรงกลดขณะ "อ.คฑา" นำทริปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อ่างทอง

    2017-09-29T13:57:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    "อ่างทอง" เดิมมีชื่อว่า "เมืองวิเศษชัยชาญ" เมืองที่เป็นทั้งสนามรบทางเดินทัพ แหล่งเสบียง ทั้งยังเป็นเมืองหน้าด่าน ที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยา ซึ่งบรรพบุรุษ นายดอก นายทองแก้ว วีรชนคนกล้าในศึกบางระจัน เคยต่อสู้พลีชีพบนพื้นแผ่นดินแห่งนี้.... เมืองแห่งนี้พัฒนาสู่เมือง อู่ข้าว-อู่น้ำ อันเปรียบเสมือน ขุมทรัพย์ที่มีค่าของไทย และนับเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ เรื่องราวน่าสนใจไม่น้อย

    อ.คฑา ชินบัญชร เปิดทริปพาเที่ยวอ่างทองเงินไหลนองทองไหลมา ร่วมกับ สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดอ่างทอง กับโครงการ “มนต์เสน่ห์วิถีไทย 4 วัด 1 ศาลเจ้า 2 ชุมชน” เริ่มกันที่ วัดถนน "มาวัดถนนบนตั้งไข่" วัดถนน สร้างราว พ.ศ. 2323 ในสมัยกรุงธนบุรี ภายในวัดมีพระยืนประดิษฐาน ในวิหาร นามว่า “หลวงพ่อพระพุทธรำพึง” หรือ “พระพุทธรำพึง” เป็นพระพุทธรูปปางรำพึงแกะสลักด้วยไม้ สูง 2 เมตรกว่า อิริยาบถประทับยืน พระหัตถ์ทั้งสองประสานยกขึ้นประดับที่พระอุระ (อก)


    ตามประวัติเล่าขานสืบต่อกันมาเคยมีแพลอยน้ำมาที่หน้าวัดและไม่ยอมลอยต่อไป พระทองอยู่ เจ้าอาวาสในสมัยนั้นลงไปดู พบว่าในแพมีพระไม้แกะสลักจึงทำพิธีบวงสรวงอัญเชิญขึ้นมา ซึ่งก็คือ หลวงพ่อพระพุทธรำพึง คนที่ไปกราบไหว้บูชา ......หากต้องการเสี่ยงโชคขอพรจะต้องตั้งไข่ไก่ดิบที่หน้าหลวงพ่อโดยจะมีไข่ไก่ดิบวางไว้ให้ ถ้าใครตั้งไข่ได้แสดงว่ามีโชค มีลาภ ดวงดี ได้สมปรารถนา เมื่อรู้ผลแล้วก็นำไข่ไปเก็บที่เดิมเมื่อบนแล้วได้ตามหวังก็มาแก้บนด้วย ไข่ต้ม ละคร และ พวงมาลัย และยังมี พระพุทธบาทลอยฟ้า หนึ่งเดียวในประเทศไทย

    หากใครไม่แหงนมองก็จะไม่เห็น รอยพระพุทธบาทลอยฟ้า ซึ่งแกะสลักด้วยไม้ติดอยู่บนเพดานศาลาการเปรียญ ขนาดกว้าง 30 นิ้ว ยาว 7 นิ้ว อายุกว่า 280 ปี โดยชาวบ้านเชื่อว่า หากขอพรสิ่งใดก็มักได้ในสิ่งที่ต้องการ เราไม่รอช้า ไปยืนใต้พระพุทธบาท พนมมือขึ้น หลับตากล่าวขอพรด้วยความตั้งใจ เดินชมบริเวณวัด ทำให้เห็นว่าวัดแห่งนี้มีแผนผังที่เป็นระบบระเบียบ เรียบร้อยเหลือเกิน ดูแล้วสบายตา มีหมู่พระเจดีย์รายล้อมอยู่รอบพระอุโบสถหลังเก่า แถมแวดล้อมด้วยพันธุ์ไม้ดอกที่สวยงามหลากหลายพันธุ์ ยิ่งช่วยเพิ่มสีสันความสดชื่นให้กับวัด

    มาถึงอ่างทองต้องมาชม “ตุ๊กตาชาววัง” ที่ ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ บ้านเรือนไทยทรงสูง 2 ชั้น ชื่อว่า “คุ้มสุวรรณภูมิ” อยู่บริเวณ วัดท่าสุทธาวาส ซึ่งเป็นโครงการที่ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2519 เพื่อสร้างอาชีพเสริมเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ราษฎรภายในหมู่บ้านบางเสด็จแห่งนี้ได้อย่างยั่งยืน

    ชมทัศนียภาพอันร่มรื่นและสวยงามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วยังได้ชมการปั้นและผลงานตุ๊กตาชาววังจากฝีมือชาวบ้านในละแวกนั้นอย่างเป็นกันเอง โดยเป็นการรวมกลุ่มในรูปสหกรณ์ มีศูนย์กลางอยู่ที่ศูนย์ตุ๊กตาชาววังบ้านบางเสด็จ ซึ่งจะจัดให้สมาชิกมาสาธิตการปั้นตุ๊กตาชาววังพร้อมกับจัดจำหน่ายในราคาย่อมเยา ทั้งยังเป็นแหล่งเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ของผู้มาเยือน เมื่อเขามาแล้วสามารถชมการสาธิตปั้นตุ๊กตาชาววัง เรียนรู้การปั้นตุ๊กตาด้วยดินเหนียว ที่แสดงให้เห็นถึงวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนและวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ

    ต่อเนื่องกันไปที่ วัดขุนอินทประมูล ที่นี่ก็เป็นวัดเก่าแก่สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ หรือที่เรียกกันว่าพระนอน ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย มีความยาว 50 เมตร รองจากพระนอนที่วัดบางพลีใหญ่กลาง จังหวัดสมุทรปราการ โดยองค์พระนอนที่นี่ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งไม่มีวิหารเหมือนพระนอนองค์อื่นเนื่องจากวิหารเดิมเคยถูกไฟไหม้ทำให้วิหารทั้งหมดพังทลาย เหลือแต่องค์พระประดิษฐานอยู่กลางแจ้งหลังการไฟไหม้คราวนั้นมาหลาย 100 ปีซึ่งมีพุทธลักษณะที่งดงาม พระพักตร์ยิ้มละมัย สงบเยือกเย็น น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก เป็นอีกวัดที่ต้องไม่พลาดในการมาสักการบูชา

    และอีกหนึ่งจุดสำคัญในวัดนี้เห็นจะเป็นรูปหล่อขนาดใหญ่ของ “สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)”  ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถขยับขับเคลื่อนกันมาที่ วัดป่าโมกวรวิหาร เพื่อชม พระพุทธไสยาสน์ ที่งดงามอีกองค์หนึ่ง องค์พระก่ออิฐถือปูนปิดทอง มีความยาว 22.5 8 เมตร สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย มีประวัติความเป็นมาน่าอัศจรรย์ เล่าขานกันว่า พระพุทธรูปองค์นี้ลอยน้ำมาจมอยู่หน้าวัดประชาชนบวงสรวงแล้วชักลากขึ้นมาประดิษฐานไว้ที่ริมฝั่งแม่น้ำ นอกจากนี้ยังมีการเล่าขานเกี่ยวกับองค์พระพุทธไสยาสน์ว่าเป็น “พระพุทธรูปพูดได้” ซึ่งมีการจารึกโดย ผู้บันทึกคือ พระครูปาโมกข์มุนี เจ้าอาวาสวัดป่าโมก เรื่องนี้จึงเป็นปาฏิหาริย์ที่ถูกบันทึกไว้อย่างน่าทึ่ง!!


    จากนั้นเปลี่ยนมาเที่ยวชม ศาลเจ้าอ่างทอง (เจ้าพ่อกวนอู) ที่ตั้งอยู่ ตำบลย่านซื่อ ซึ่งอยู่ในตัวอำเภอเมืองอ่างทอง กันต่อ ก่อสร้างขึ้นเนื่องจาก ศาลเจ้ากวนอู หลังเดิมมีสภาพทรุดโทรมและคับแคบ โดยเฉพาะบริเวณคุ้งน้ำ ถูกน้ำกัดเซาะด้านหน้าศาลจนเกิดความเสียหาย จึงมาสร้างที่ใหม่ ณ บริเวณนี้ เพื่อประดิษฐานเหล่าเทพเจ้าที่ประชาชนเคารพภายในมีองค์เทพเจ้ากวนอูเป็นองค์ประธาน และยังได้ อัญเชิญองค์ปึงเถ่ากง-ปึงเถ่าม่า มาประดิษฐานร่วมกัน ภายนอกมีหลังคาประดับด้วยปูนปั้นลวดลายหงส์ มังกร ตามคติความเชื่อของชาวจีน นับเป็นศาลเจ้าที่มีความสงบ น่าเลื่อมใส ถึงได้นำมาซึ่งความสามัคคี ร่วมมือ ร่วมใจ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในชุมชน

    นอกจากนี้ยังสุดอัศจรรย์! ได้เกิดอาทิตย์ทรงกลด ขณะที่ อ.คฑา ชินบัญชร นำทริปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นก็ได้เก็บภาพสวยๆ นี้มาฝากเช่นกัน 

    ปิดทริปไหว้ “หลวงพ่อใหญ่” ณ วัดม่วง ที่ ตำบลหัวสะพาน อำเภอวิเศษชัยชาญ โดยจะเห็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่อยู่กลางทุ่งกว้าง ซึ่งก็คือหลวงพ่อใหญ่ หรือ “พระพุทธมหานวมินทร์ศากยมุนีศรีวิเศษชัยชาญ” พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 63 เมตร สูง 95 เมตร หรือเท่ากับตึก 32 ชั้น ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 16 ปี การไหว้อธิษฐานจิตขอพรนั้นให้ใช้มือสัมผัสที่ปลายนิ้วองค์หลวงพ่อ แล้วต้องใจขอในสิ่งที่ดี ทำความดีตามที่ตั้งใจไว้ แล้วจะได้รับผลสำเร็จสมตามใจปรารถนา และในวัดยังมี สวนนรก-สวรรค์ แบบจำลองตัวละครวรรณคดีไทย หลายเรื่อง จัดแสดงไว้ในสวนอันร่มรื่น โดยมีป้ายคำสอนต่างๆที่เหมาะอย่างยิ่งที่จะพาบุตรหลานมาเที่ยวชม ปลูกฝังให้รู้จักการทำแต่ความดี “เมืองวิเศษชัยชาญ”   ใช่จะเด่นอยู่แค่ประวัติศาสตร์ชาติไทยแต่หากสามารถมาสัมผัสความเดือนต่างๆ ที่มีมากมายได้ที่จังหวัด “อ่างทอง” แห่งนี้